Author: ทนายแมน

มาตรา 7  แห่งประมวลกฎหมายอาญา

หาทนาย จ้างทนาย เกี่ยวกับ ผู้ใดกระทำความผิดดังระบุไว้ต่อไปนี้นอกราชอาณาจักร จะทำอย่างไร?
          มาตรา 7 ผู้ใดกระทำความผิดดังระบุไว้ต่อไปนี้นอกราชอาณาจักร จะต้องรับโทษในราชอาณาจักร คือ
        (1) ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 107 ถึงมาตรา 129
        (1/1) ความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 135/1 มาตรา 135/2 มาตรา 135/3 และมาตรา 135/4
        (2) ความผิดเกี่ยวกับการปลอมและการแปลง ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 240 ถึงมาตรา 249 มาตรา 254 มาตรา 256 มาตรา 257 และมาตรา 266 (3) และ (4)
        (2 ทวิ) ความผิดเกี่ยวกับเพศตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 282 และมาตรา 283
        (3) ความผิดฐานชิงทรัพย์ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 339 และความผิดฐานปล้นทรัพย์ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 340 ซึ่งได้กระทำในทะเลหลวง

มาตรา 6  แห่งประมวลกฎหมายอาญา

หาทนาย จ้างทนาย เกี่ยวกับ ความผิดใดที่ได้กระทำในราชอาณาจักรหรือที่ประมวลกฎหมายนี้ถือว่าได้กระทำในราชอาณาจักร จะทำอย่างไร?
          มาตรา 6 ความผิดใดที่ได้กระทำในราชอาณาจักรหรือที่ประมวลกฎหมายนี้ถือว่าได้กระทำในราชอาณาจักร แม้การกระทำของผู้เป็นตัวการด้วยกัน ของผู้สนับสนุน หรือของผู้ใช้ให้กระทำความผิดนั้นจะได้กระทำนอกราชอาณาจักร ก็ให้ถือว่าตัวการ ผู้สนับสนุน หรือผู้ใช้ให้กระทำได้กระทำในราชอาณาจักร

มาตรา 5  แห่งประมวลกฎหมายอาญา

หาทนาย จ้างทนาย เกี่ยวกับ ความผิดใดที่การกระทำแม้แต่ส่วนหนึ่งส่วนใดได้กระทำในราชอาณาจักรก็ดี จะทำอย่างไร?
          มาตรา 5 ความผิดใดที่การกระทำแม้แต่ส่วนหนึ่งส่วนใดได้กระทำในราชอาณาจักรก็ดี ผลแห่งการกระทำเกิดในราชอาณาจักรโดยผู้กระทำประสงค์ให้ผลนั้นเกิดในราชอาณาจักร หรือโดยลักษณะแห่งการกระทำ ผลที่เกิดขึ้นนั้นควรเกิดในราชอาณาจักรหรือย่อมจะเล็งเห็นได้ว่าผลนั้นจะเกิดในราชอาณาจักรก็ดี ให้ถือว่าความผิดนั้นได้กระทำในราชอาณาจักร
        ในกรณีการตระเตรียมการ หรือพยายามกระทำการใดซึ่งกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด แม้การกระทำนั้นจะได้กระทำนอกราชอาณาจักร ถ้าหากการกระทำนั้นจะได้กระทำตลอดไปจนถึงขั้นความผิดสำเร็จ ผลจะเกิดขึ้นในราชอาณาจักร ให้ถือว่า การตระเตรียมการหรือพยายามกระทำความผิดนั้นได้กระทำในราชอาณาจักร

มาตรา 4  แห่งประมวลกฎหมายอาญา

หาทนาย จ้างทนาย เกี่ยวกับ ผู้ใดกระทำความผิดในราชอาณาจักร จะทำอย่างไร?
          มาตรา 4 ผู้ใดกระทำความผิดในราชอาณาจักร ต้องรับโทษตามกฎหมาย
        การกระทำความผิดในเรือไทยหรืออากาศยานไทย ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใด ให้ถือว่ากระทำความผิดในราชอาณาจักร

มาตรา 3  แห่งประมวลกฎหมายอาญา

หาทนาย จ้างทนาย เกี่ยวกับ ถ้ากฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิด จะทำอย่างไร?
          มาตรา 3 ถ้ากฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิด ให้ใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิด ไม่ว่าในทางใด เว้นแต่คดีถึงที่สุดแล้ว แต่ในกรณีที่คดีถึงที่สุดแล้ว ดังต่อไปนี้
        (1) ถ้าผู้กระทำความผิดยังไม่ได้รับโทษ หรือกำลังรับโทษอยู่ และโทษที่กำหนดตามคำพิพากษาหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง เมื่อสำนวนความปรากฏแก่ศาลหรือเมื่อผู้กระทำความผิด ผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้นั้น ผู้อนุบาลของผู้นั้นหรือพนักงานอัยการร้องขอ ให้ศาลกำหนดโทษเสียใหม่ตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง ในการที่ศาลจะกำหนดโทษใหม่นี้ ถ้าปรากฏว่า ผู้กระทำความผิดได้รับโทษมาบ้างแล้ว เมื่อได้คำนึงถึงโทษตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง หากเห็นเป็นการสมควร ศาลจะกำหนดโทษน้อยกว่าโทษขั้นต่ำที่กฎหมายที่บัญญัติในภายหลังกำหนดไว้ถ้าหากมีก็ได้ หรือถ้าเห็นว่าโทษที่ผู้กระทำความผิดได้รับมาแล้วเป็นการเพียงพอ ศาลจะปล่อยผู้กระทำความผิดไปก็ได้
        (2) ถ้าศาลพิพากษาให้ประหารชีวิตผู้กระทำความผิด และตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง โทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิดไม่ถึงประหารชีวิต ให้งดการประหารชีวิตผู้กระทำความผิด และให้ถือว่าโทษประหารชีวิตตามคำพิพากษาได้เปลี่ยนเป็นโทษสูงสุดที่จะพึงลงได้ตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง

มาตรา 2  แห่งประมวลกฎหมายอาญา

หาทนาย จ้างทนาย เกี่ยวกับ บุคคลจักต้องรับโทษในทางอาญาต่อเมื่อได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำนั้นบัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ จะทำอย่างไร?
          มาตรา 2 บุคคลจักต้องรับโทษในทางอาญาต่อเมื่อได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำนั้นบัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ และโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิดนั้น ต้องเป็นโทษที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย
        ถ้าตามบทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง การกระทำเช่นนั้นไม่เป็นความผิดต่อไป ให้ผู้ที่ได้กระทำการนั้นพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิด และถ้าได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษแล้ว ก็ให้ถือว่าผู้นั้นไม่เคยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำความผิดนั้น ถ้ารับโทษอยู่ก็ให้การลงโทษนั้นสิ้นสุดลง

มาตรา 1  แห่งประมวลกฎหมายอาญา

หาทนาย จ้างทนาย เกี่ยวกับ ในประมวลกฎหมายนี้(1) จะทำอย่างไร?
          มาตรา 1 ในประมวลกฎหมายนี้
        (1) “โดยทุจริต” หมายความว่า เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น
        (2) “ทางสาธารณะ” หมายความว่า ทางบกหรือทางน้ำสำหรับประชาชนใช้ในการจราจร และให้หมายความรวมถึงทางรถไฟและทางรถรางที่มีรถเดิน สำหรับประชาชนโดยสารด้วย
        (3) “สาธารณสถาน” หมายความว่า สถานที่ใด ๆ ซึ่งประชาชนมีความชอบธรรมที่จะเข้าไปได้
        (4) “เคหสถาน” หมายความว่า ที่ซึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัย เช่น เรือน โรง เรือ หรือแพ ซึ่งคนอยู่อาศัย และให้หมายความรวมถึงบริเวณของที่ซึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัยนั้นด้วย จะมีรั้วล้อมหรือไม่ก็ตาม
        (5) “อาวุธ” หมายความรวมถึงสิ่งซึ่งไม่เป็นอาวุธโดยสภาพ แต่ซึ่งได้ใช้หรือเจตนาจะใช้ประทุษร้ายร่างกายถึงอันตรายสาหัสอย่างอาวุธ
        (6) “ใช้กำลังประทุษร้าย” หมายความว่า ทำการประทุษร้ายแก่กายหรือจิตใจของบุคคล ไม่ว่าจะทำด้วยใช้แรงกายภาพหรือด้วยวิธีอื่นใด และให้หมายความรวมถึงการกระทำใด ๆ ซึ่งเป็นเหตุให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ ไม่ว่าจะโดยใช้ยาทำให้มึนเมา สะกดจิต หรือใช้วิธีอื่นใดอันคล้ายคลึงกัน
        (7) “เอกสาร” หมายความว่า กระดาษหรือวัตถุอื่นใดซึ่งได้ทำให้ปรากฏความหมายด้วยตัวอักษร ตัวเลข ผัง หรือแผนแบบอย่างอื่น จะเป็นโดยวิธีพิมพ์ ถ่ายภาพ หรือวิธีอื่นอันเป็นหลักฐานแห่งความหมายนั้น
        (8) “เอกสารราชการ” หมายความว่า เอกสารซึ่งเจ้าพนักงานได้ทำขึ้นหรือรับรองในหน้าที่ และให้หมายความรวมถึงสำเนาเอกสารนั้น ๆ ที่เจ้าพนักงานได้รับรองในหน้าที่ด้วย
        (9) “เอกสารสิทธิ” หมายความว่า เอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวนหรือระงับซึ่งสิทธิ
        (10) “ลายมือชื่อ” หมายความรวมถึงลายพิมพ์นิ้วมือและเครื่องหมายซึ่งบุคคลลงไว้แทนลายมือชื่อของตน
        (11) “กลางคืน” หมายความว่า เวลาระหว่างพระอาทิตย์ตกและพระอาทิตย์ขึ้น
        (12) “คุมขัง” หมายความว่า คุมตัว ควบคุม ขัง กักขังหรือจำคุก
        (13) “ค่าไถ่” หมายความว่า ทรัพย์สินหรือประโยชน์ที่เรียกเอา หรือให้เพื่อแลกเปลี่ยนเสรีภาพของผู้ถูกเอาตัวไป ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวหรือผู้ถูกกักขัง
        (14) “บัตรอิเล็กทรอนิกส์” หมายความว่า
        (ก) เอกสารหรือวัตถุอื่นใดไม่ว่าจะมีรูปลักษณะใดที่ผู้ออกได้ออกให้แก่ผู้มีสิทธิใช้ ซึ่งจะระบุชื่อหรือไม่ก็ตาม โดยบันทึกข้อมูลหรือรหัสไว้ด้วยการประยุกต์ใช้วิธีการทางอิเล็กตรอน ไฟฟ้า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือวิธีอื่นใดในลักษณะคล้ายกัน ซึ่งรวมถึงการประยุกต์ใช้วิธีการทางแสงหรือวิธีการทางแม่เหล็กให้ปรากฏความหมายด้วยตัวอักษร ตัวเลข รหัส หมายเลขบัตร หรือสัญลักษณ์อื่นใด ทั้งที่สามารถมองเห็นและมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
        (ข) ข้อมูล รหัส หมายเลขบัญชี หมายเลขชุดทางอิเล็กทรอนิกส์หรือเครื่องมือทางตัวเลขใด ๆ ที่ผู้ออกได้ออกให้แก่ผู้มีสิทธิใช้ โดยมิได้มีการออกเอกสารหรือวัตถุอื่นใดให้ แต่มีวิธีการใช้ในทำนองเดียวกับ (ก) หรือ
        (ค) สิ่งอื่นใดที่ใช้ประกอบกับข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์เพื่อแสดงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อระบุตัวบุคคลผู้เป็นเจ้าของ
        (15) “หนังสือเดินทาง” หมายความว่า เอกสารสำคัญประจำตัวไม่ว่าจะมีรูปลักษณะใดที่รัฐบาลไทย รัฐบาลต่างประเทศ หรือองค์การระหว่างประเทศออกให้แก่บุคคลใด เพื่อใช้แสดงตนในการเดินทางระหว่างประเทศ และให้หมายความรวมถึงเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางและแบบหนังสือเดินทางที่ยังไม่ได้กรอกข้อความเกี่ยวกับผู้ถือหนังสือเดินทางด้วย
        (16) “เจ้าพนักงาน” หมายความว่า บุคคลซึ่งกฎหมายบัญญัติว่าเป็นเจ้าพนักงานหรือได้รับแต่งตั้งตามกฎหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ราชการ ไม่ว่าเป็นประจำหรือครั้งคราว และไม่ว่าจะได้รับค่าตอบแทนหรือไม่
        (17) “สื่อลามกอนาจารเด็ก” หมายความว่า วัตถุหรือสิ่งที่แสดงให้รู้หรือเห็นถึงการกระทำทางเพศของเด็กหรือกับเด็กซึ่งมีอายุไม่เกินสิบแปดปี โดยรูป เรื่อง หรือลักษณะสามารถสื่อไปในทางลามกอนาจาร ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบของเอกสาร ภาพเขียน ภาพพิมพ์ ภาพระบายสี สิ่งพิมพ์ รูปภาพ ภาพโฆษณา เครื่องหมาย รูปถ่าย ภาพยนตร์ แถบบันทึกเสียง แถบบันทึกภาพ หรือรูปแบบอื่นใดในลักษณะทำนองเดียวกัน และให้หมายความรวมถึงวัตถุหรือสิ่งต่าง ๆ ข้างต้นที่จัดเก็บในระบบคอมพิวเตอร์หรือในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นที่สามารถแสดงผลให้เข้าใจความหมายได้  

เจตนาลวงและนิติกรรมอำพราง


หลังจากที่ได้ศึกษาเรื่องความหมายของการแสดงเจตนาและเจตนาซ่อนเร้นกันไปแล้ว ในครั้งนี้ผู้เขียนจะมาอธิบายถึงการแสดงเจตนาที่เกี่ยวกับการทำนิติกรรมอีกสองรูปแบบด้วยกัน กล่าวคือ เจตนาลวงและนิติกรรมอำพราง ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้วางหลักเอาไว้ในมาตรา  155 

เจตนาลวง  ถูกวางหลักไว้ในวรรคแรก  เป็นการแสดงเจตนาโดยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง แสดงให้เห็นว่าทั้งสองฝ่ายต้องรู้เห็นเป็นใจในการแสดงเจตนานั้นซึ่งไม่ตรงกับเจตนาอันแท้จริง  เมื่อนิติกรรมเกิดมีขึ้นจากเจตนาลวง  ไม่ได้ต้องการผูกพันอย่างที่ได้แสดงเจตนาออกมานั้น  เท่ากับว่าการแสดงเจตนานั้นย่อมไม่มีผล  ถือว่าเป็นโมฆะ 

การแสดงเจตนาลวงนี้  จะยกเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกโดยสุจริตและต้องเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงไม่ได้ 

ตัวอย่างเช่น  นาย A กับนาย B สมรู้เป็นใจกันทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินขึ้นมา  โดยไม่ได้ต้องการจะทำการซื้อขายกันจริง ๆ การแสดงเจตนาลวงนี้จึงมีผลทำให้การทำนิติกรรมซื้อขายนั้นเป็นโมฆะ  ต่อมาเมื่อนาย B ซึ่งสมรู้เป็นใจกับนาย A นำที่ดินซึ่งทางทะเบียนเป็นชื่อของตนจากการซื้อขายกันอย่างลวง ๆ ไปขายให้กับนาง C เมื่อนาง C ไม่ได้รู้ถึงเจตนาลวงระหว่างนาย A และนาย B เลย และยังเสียเงินซื้อที่ดินผืนนั้นมาอีก นาง C จึงเป็นบุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริตและเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงของนาย A กับนาย B ซึ่ง นาย A และนาย B จะยกข้อต่อสู้ที่ว่า “ ไม่ได้ต้องการขายจริง ๆ ตกลงกันไว้แล้วตั้งแต่แรก ” ไม่ได้! กรรมสิทธิ์ในที่ดินย่อมเป็นของนาง C 


ส่วน นิติกรรมอำพราง ได้ถูกวางหลักไว้ในวรรคสอง  เป็นการแสดงเจตนาลวงเพื่อปกปิดนิติกรรมอื่น  ผลทางกฎหมายคือให้นำบทบัญญัติเกี่ยวกับนิติกรรมที่ถูกอำพรางมาใช้บังคับ  สิ่งสำคัญที่ต้องระวัง  คือ  ในกรณีจะเป็นนิติกรรมอำพราง  ต้องเป็นนิติกรรมอำพรางนิติกรรมเท่านั้น  หากไม่ใช่นิติกรรมอำพราง นิติกรรมย่อมไม่ถือว่าเป็นนิติกรรมอำพราง 

ตัวอย่างเช่น  ยาย D ต้องการยกที่ดินให้ลูกชายคนสุดท้องของตน  แต่ก็กลัวลูกชายคนโตจะเสียใจ จึงแสร้างทำนิติกรรมซื้อขายกันกับลูกชายคนสุดท้องโดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าที่เพื่อปกปิดอำพรางนิติกรรมการให้ระหว่างตนกับลูกชายคนสุดท้อง  เป็นการใช้นิติกรรมซื้อขายอำพรางนิติกรรมการให้ ดังนั้น จึงต้องนำบทบัญญัติในเรื่องนิติกรรมการให้มาใช้บังคับ เมื่อมีการทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายแล้ว เท่ากับว่าที่ดินผืนนั้นเป็นของลูกชายคนสุดท้องโดยนิติกรรมการให้


ความหมายของเจตนาลวงและเจตนาอำพราง  อ้างอิงจาก ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 155

เขียนโดย คุณฐิติพร เศวตศิลป์

ความหมายของ “เจตนาซ่อนเร้น”


ก่อนจะกล่าวถึง เจตนาซ่อนเร้น ควรมารู้ความหมายของคำว่าเจตนาการแสดงเจตนา  หมายถึง การแสดงออกมาว่าต้องการจะกระทำสิ่งใด  กระทำอย่างไร เมื่อแสดงเจตนาออกมาอย่างไรแล้ว ผลของการแสดงเจตนาก็ย่อมเป็นเช่นนั้น ถ้าไม่มีการกระทำอันเป็นการแสดง เจตนาออกมานิติกรรมก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้ เพราะไม่มีใครทราบได้ว่าผู้ทำนิติกรรมต้องอะไร    

การแสดงเจตนาที่เกี่ยวกับการทำนิติกรรมนั้นมีมากมายหลายกรณีมาก  ซึ่งวันนี้ผู้เขียนขอยกเรื่อง เจตนาซ่อนเร้นมาอธิบายให้ทุก ๆ คนได้ศึกษากันก่อนนะคะ

เจตนาซ่อนเร้น

เจตนาซ่อนเร้น  คือการที่ในใจของผู้แสดงเจตนาไม่ได้ต้องการให้มีผลผูกพันอย่างที่ได้แสดงเจตนาออกมา แต่อาจจะมีเหตุผลหรือสาเหตุที่ทำ ให้ต้องแสดงเจตนาอย่างนั้นออกมาไม่ว่าสาเหตุหรือเหตุผลนั้นจะฟังขึ้นหรือไม่อย่างไรก็ตาม    

ตัวอย่างเช่น  นาย A ต้องการโอ้อวดแฟนสาวรุ่นราวหลานว่าตนเป็นคนที่ร่ำรวยมาก จึงได้พาแฟนสาวไปยังร้านทองทำทีเป็นไปขอซื้อทองคำแท่งมาเก็บไว้ทั้ง ๆ ที่ในใจไม่ได้ต้องที่จะผูกพันตามที่ได้แสดงเจตนาออกมาเลย    

ผลของการแสดงเจตนาซ่อนเร้นนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 154 ได้วางหลักไว้ว่า  การแสดงเจตนาใดแม้ในใจจริงผู้แสดงจะมิได้เจตนาให้ตนต้องผูกพันตามที่ได้แสดงออกมาก็ตาม หาเป็นมูลเหตุให้การแสดงเจตนาเป็นโมฆะไม่  

ดังนั้น  เมื่อนาย A แสดงเจตนาออกไปเช่นไรแล้วผลย่อมสมบูรณ์ตามนั้น  ผูกพันตามที่ตนได้แสดงเจตนาออกไป นาย A ต้องยอมรับเอาทองคำแท่งและจ่ายเงินให้แก่เจ้าของร้านทอง การแสดงเจตนาออกมาทั้ง ๆ ที่ในใจไม่ต้องการจะผูกพัน ไม่เป็นเหตุให้การแสดงเจตนาเป็นโมฆะอันจะทำให้นิติกรรมนี้ไร้ผล  

อย่างไรก็ตามกฎหมายก็ได้วางหลักในเรื่องข้อยกเว้นของเจตนาซ่อนเร้นไว้ในตอนท้ายของมาตราเดียวกันนี้ด้วย กล่าวคือ เว้นแต่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งจะได้รู้ถึงเจตนาอันซ่อนอยู่ภายในใจของผู้แสดงนั้น   

ดังนั้น หากเจ้าของร้านทองรู้ถึงเจตนาภายในใจของนาย A ว่าไม่ต้องการได้ทองคำแท่งจริง ๆ เพียงแค่ต้องการโอ้อวดแฟนสาวรุ่นราวหลาน การซื้อขายทองคำแท่งครั้งนี้ย่อมเป็นโมฆะ มีผลเท่ากับว่านิติกรรมนี้ไม่มีผลมาตั้งแต่แรก เป็นอันไร้ผล


ความหมายของเจตนาซ่อนเร้น อ้างอิงจาก ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 154 

ความหมายของการแสดงเจตนา อ้างอิงจาก https://actinthelaw.blogspot.com/p/blog-page_5490.html

เขียนโดย คุณฐิติพร เศวตศิลป์

มาตรา 303

หาทนายเกี่ยวกับทำแท้งโดยไม่ยินยอมนั้นมีความผิด แล้วถ้าทำแท้งจนผู้หญิงมีอันตราย แล้วต้องทำอย่างไร? ติดต่อมาหาทนายแมนสิ เราช่วยคุณได้

มาตรา 303  ผู้ใดทำให้หญิงแท้งลูกโดยหญิงนั้นไม่ยินยอม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าการกระทำนั้นเป็นเหตุให้หญิงรับอันตรายสาหัสอย่างอื่นด้วย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท ถ้าการกระทำนั้นเป็นเหตุให้หญิงถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท